เป็นโรคไต ต้องดูอะไรอีกบ้าง นอกจาก "เค็ม"
1.พลังงาน
สำหรับโรคไตทุกระยะ 1-5 จะควบคุมพลังงานในแต่ละวัน เท่ากัน คือ 30-35 Cal/Kg. จาก IBW เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งอายขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ นะคะ
ตัวอย่าง นายกุ๊กไก่ อายุ 40ปี น้ำหนัก 60 Kg. ส่วนสูง 165 cm. **สูตร IBW = (ส่วนสูง หน่วย cm.) – 100 = น้ำหนักที่เหมาะสม ดังนั้นจากตัวอย่าง IBW ของนายกุ๊กไก่ = 165-100 = 65 kg. และพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน = 30 x 65 = 1,950 หรือประมาณ 2,000-2,200 kcal. ต่อวันนั่นเองค่ะ
**สำหรับผู้หญิง **สูตร IBW = (ส่วนสูง หน่วย cm.) – 110 = น้ำหนักที่เหมาะสม
ถ้าเราควบคุมพลังงานให้พอเหมาะได้ น้ำหนักก็จะไม่เกิน โรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำหนักก็จะไม่เกิด ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นไปได้เยอะเลยล่ะค่ะ
เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็น และควรเลือกเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายคุณภาพดีเป็นหลัก จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมคุณหมอ คุณพยาบาลถึงแนะนำให้เราทานไข่ขาวกับเนื้อปลาบ่อย ๆ แต่ในขณะเดียวกัน โปรตีนเองก็เป็นสารอาหารตัวนึง ที่ถ้าใคร อยู่ระยะก่อนฟอกไตแล้วทานมากเกินไป จะทำให้ไตยิ่งทำงานหนัก ของเสียจะสูงได้ง่าย เลยต้องควบคุมปริมาณโปรตีนที่ทานในแต่ละวันให้เหมาะสมกับแต่ละคนด้วย
ระยะก่อนฟอกไต
ผู้ป่วยควรได้รับโปรตีน 0.6-0.8 กรัม/น้ำหนักตัว (kg.) ตัวอย่างนายกุ๊กไก่คนเดิม แต่สมมติเพิ่มว่า เป็นโรคไตระยะ 3 ค่าน้ำหนักที่เหมาะสม (IBW) คือ 65 kg. โปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน = 0.6 x 65 = 39 กรัม , 0.8 x 65 = 52กรัม แปลว่า นายกุ๊กไก่ ควรทานโปรตีนให้ได้ 39 ถึง 52 กรัมต่อวันจึงจะเหมาะสม
ระยะฟอกไต
จะตรงกันข้ามเลยค่ะ ระยะนี้ต้องการโปรตีนสูง ๆ เพราะการฟอกแต่ละครั้งจะสูยเสียโปรตีนออกไปตลอด หากทานไม่พอ ร่างกายก็จะขาดไปเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อจะหายไป อ่อนเพลีย ไม่มีแรงอยู่บ่อย ๆ ผอมลง และติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ระยะนี้ต้องการโปรตีน 1.2-1.5 กรัม/น้ำหนักตัว (kg.) ตัวอย่างนายกุ๊กไก่คนเดิม และเป็นระยะฟอกไตแล้ว
**ฟอกไตผ่านเครื่อง ต้องการโปรตีน 1.1-1.4 กรัม/น้ำหนักตัว (kg.) ส่วนผ่านหน้าท้อง 1.2-1.5 กรัม/น้ำหนักตัว (kg.) นะคะ
ค่าน้ำหนักที่เหมาะสม (IBW) คือ 65 kg. โปรตีนที่ควรได้รับต่อวัน = 1.2 x 65 = 78 กรัม , 1.5 x 65 = 97 กรัม แปลว่า นายกุ๊กไก่ ควรทานโปรตีนให้ได้ 78 ถึง 97 กรัมต่อวันจึงจะเหมาะสม
ตัวอย่างแหล่งโปรตีนยอดฮิต
เจ้าตัวดีที่เราเลี่ยงกันสุด ๆ แต่ก็หนีไม่ค่อยจะพ้น เพราะอยู่ในอาหารแทบทุกอย่างเลยล่ะค่ะ เพียงแต่มีมากมีน้อยต่างกัน ขึ้นชื่อว่า
เป็นโรคไต ไม่ว่าจะระยะก่อนฟอกและฟอกไตแล้ว ก็ต้องคุมตัวนี้เหมือนกัน ที่สำคัญโซเดียมไม่ได้อยู่แค่ในเครื่องปรุง แต่อยู๋ในสารปรุงแต่งอาหารด้วย เช่น ผงฟู ผงชูรส อยู่ในอาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป อย่างกุนเชียง ไส้กรอก ลูกชิ้น อาหารหมักดอง ปลาร้า
**1 วันควรได้รับ 1,500 – 2,000 mg.
ตัวอย่างปริมาณโซเดียมในอาหารยอดฮิต
ทั้งระยะก่อนฟอกไต และฟอกไตแล้ว ก็ต้องคุมเหมือนกันค่ะ และจะขึ้นกับผลเลือดของแต่ละคนด้วย บางคนที่ค่าต่ำ ก็ต้องทานเพิ่ม บางคนที่ค่าสูงก็อาจจะต้องงดไปก่อนสักระยะ เจ้าตัวนี้จะมีผลโดยตรงกับหัวใจ เพราะงั้นต่อนข้างอันตรายเลยค่ะ ต้องควบคุมให้ดี คนที่ฟอกไตอยู่จะเคร่งมากกว่าระยะก่อนหน่อย เพราะเวลาโพแทสเซียมสูง แล้วมาฟอกไต อาจจะหายใจไม่ออก ต้องให้ออกซิเจน หรือน๊อคหมดสติ ถูกส่งฉุกเฉินระหว่างฟอกเลยก็มีให้เห็นบ่อย ๆ **1 วันไม่ควรทานเกิน 1,500 mg.
ตัวอย่างโพแทสเซียมในผักผลไม้
ตัวนี้ต้องควบคุมทั้งระยะก่อนฟอกไต และฟอกไตแล้ว มักจะอยู่ในอาหารที่คุณประโยชน์สูงและธัญพืช เช่น นม ถั่วชนิดต่าง ๆ ข้าว
และแป้งไม่ขัดสี กลุ่มที่เป็น Super food อย่าง กราโนล่า ควินัว ต้นอ่อนทานตะวัน เมล็ดเชีย เป็นต้น
ที่ต้องควบคุมอาหารเหล่านี้ ก็เพราะไตเราเสื่อม จึงกรองฟอสฟอรัสออกไม่ค่อยได้ ถ้าทานเข้าไปเยอะมันก็จะสะสมอยู่ในเลือดไป
เรื่อย ๆ และจำทำให้มีผลกับกระดูกของเรา ทำให้กระดูกบาง แตกหักได้ง่ายค่ะ ** 1 วันควรได้รับไม่เกิน 1,000 mg.
ตัวอย่างอาหาร ฟอสฟอรัสสูง ควรหลีกเลี่ยง
ตัวอย่างอาหาร ฟอสฟอรัสต่ำ ทานได้
โรคไต เป็นโรคเดียวที่สังเกตได้จากอาการบวมน้ำ เพราะว่าไตไม่สามารถขับปัสสาวะออกไปได้ น้ำก็เลยสะสมอยู่ในตัวเหมือนกับลูกโป่งที่เติมน้ำลงไป เพราะฉะนั้น น้ำ ก็เป็นตัวหนึ่งที่คนเป็นโรคไตต้องดูแลเป็นพิเศษค่ะ
สำหรับระยะก่อนฟอกไต ส่วนใหญ่มักไม่ต้องคุม ถ้าดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ ได้จะยิ่งดีมาก ๆ ค่ะ เพราะไตชอบน้ำ (แทบไม่ต้องกรอง ไตจะทำงานเบา ๆ) แต่จะมีบางคนเท่านั้นที่ต้องคุมจากอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ
ส่วนระยะฟอกไตแล้ว กรณียังมีปัสสาวะ จะจำกัดน้ำอยู่ที่ 500-750 ml. + ปัสสาวะที่ออกมา (ที่ตวงได้) แต่ถ้าไม่มีปัสสาวะ จะจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1 ลิตรต่อวัน เพื่อไม่ให้บวมจนเกิดภาวะน้ำท่วมปอด ซึ่งอันตรายมาก ๆ ถึงขั้นเสียชีวิตได้
สรุปก็คือ นอกจากเค็มแล้ว ผู้ป่วยโรคไตไม่ว่าจะระยะไหน ก็ยังต้องสนใจโปรตีน โพแทสเซียม ฟอสฟอสรัส และน้ำเพิ่มเติมด้วย เพื่อช่วยไตของเราไม่ให้ทำงานหนัก จะได้ชะลอไตเสื่อมไปได้นาน ๆ และที่สำคัญ จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่อาหารชนิดไหนที่เราอยากจะทานจริง ๆ ก็ควรทานในปริมาณน้อย และพิจารณาผลเลือดประกอบด้วยนะค๊า
สุดท้ายอายอยากฝากไว้ว่า จริง ๆ เป็นโรคไต ทานได้ทุกอย่าง เพียงแต่จำกัดที่ปริมาณ อย่างเช่นเครื่องปรุง ไม่ใช่ว่าห้ามใช้แต่ให้ปรุงในปริมาณน้อย และไม่ควรทานอะไรซ้ำเดิมนาน ๆ ไม่งั้นก็อาจทำให้ขาดสารอาหารที่สำคัญตัวอื่นได้เช่นกัน การทานอาหารหลากหลาย อย่างละนิดละหน่อยคือการคุมอาหารที่ดีที่สุดค่ะ ขอให้ทุกคนแข็งแรง และมีความสุขกันมาก ๆ นะคะ